เวลาที่เราไปทาน Sushi หรือ Sashimi ในร้านอาหารญี่ปุ่นกันแต่ละครั้ง เมนูที่ได้จะต้องสั่งกันเป็นอันดับแรกก็จะต้องเป็นเมนูปลาแซลมอนหรือปลาทูน่ากันอยู่เสมอ เพราะถือว่าเป็นปลาดิบที่มีรสชาติและรสสัมผัสที่อร่อยถูกปากเข้าใจง่าย แต่ถ้าถามความนิยมของคนทั่วโลกก็จะยกให้ปลาทูน่าเป็นอันดับหนึ่งเสมอ ในวันนี้เราจะพาทุกท่านไปรู้จักกับ ปลา Maguro ยอดวัตถุดิบสุดล้ำค่าแห่งแดนอาทิตย์อุทัย ที่เป็นสวรรค์ของคนรักเมนูปลาดิบ หรือ ที่เรารู้จักกันในชื่อปลาทูน่ากันก่อนว่าทำไมถึงถูกจัดให้เป็นปลาญี่ปุ่นเกรดเอสุดพรีเมี่ยมเหนือกว่าแซลมอน พร้อมไขข้อสงสัยว่าทำไมปลาทูน่าของญี่ปุ่นถึงมีคุณภาพที่สูงกว่าทูน่าจากที่อื่น
ปลา Maguro คืออะไร
- ปลา Maguro ก็คือปลาทูน่านั่นเอง ซึ่งถ้าพูดถึงปลาทูน่าในบ้านเราก็มักจะคุ้นเคยกันในรูปแบบปลาทูน่ากระป๋องแบบปรุงสุกสำเร็จรูปกันเป็นส่วนใหญ่ แต่ที่ญี่ปุ่นนี้เขานิยมทานกันแบบดิบมาก ๆ ที่ถ้าใครได้เข้าไปร้าน Sushi ก็จะเห็นเมนูนี้เป็นเมนู Signature ของทางร้านอยู่เสมอ ปลา Maguro คือปลาทะเลที่มีเนื้อสัมผัสไม่เหมือนเนื้อปลาแต่กลับเหมือนเนื้อวัวแทน เพราะมีความแน่นและนุ่มมาก ๆ แถมยังแยกสัดส่วนออกมาได้หลายส่วนคล้าย ๆ กันอีกด้วย ซึ่งแต่ละส่วนก็มีรสชาติกับรสสัมผัสที่แตกต่างกันออกไปอย่างชัดเจน
ปลา Maguro มีกี่สายพันธุ์
- Little tunny หรือ ปลาทูน่าลาย คือ ปลาทูน่าขนาดเล็กที่พบได้ทั่วโลกในเขตร้อน จะอาศัยอยู่ได้ทั้งน้ำอุ่นและน้ำเย็น มีขนาดลำตัวยาวมากที่สุด 1 เมตร มีน้ำหนักอยู่ที่ 35 ปอนด์ ขึ้นไป สามารถพบได้บ่อยและมีความสำคัญในเชิงพาณิชย์มาก ๆ
- Albacore Tuna คือปลาทูน่าที่พบได้ในเขตร้อน มีเนื้อแน่นไม่ติดมัน ส่วนมากจะนิยมนำมาทำเป็นอาหารสำเร็จรูป
- Bigeye Tuna หรือ ปลาทูน่าตาโต จะเป็นปลาทูน่าที่มีขนาดใหญ่ โดยจะยาวประมาณ 1.8 เมตร และ มีน้ำหนักได้มากที่สุดถึง 180 กิโลกรัม รูปร่างภายนอกคล้ายกับปลาทูน่าครีบเหลือง หรือ Yellowfin Tuna ปลาชนิดนี้จะมีเนื้อเป็นสีขาวที่นิยมทานกันในรูปแบบดิบ ไม่นิยมนำไปทำอาหารสำเร็จรูป
- Skipjack Tuna หรือ ปลาทูนาท้องลาย จะมีขนาดตัวไม่ใหญ่มาโดยมีความยาวเฉลี่ยอยู่ที่ 40-80 เซนติเมตร เป็นหนึ่งในปลาทูน่าครีบเหลืองที่อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง นิยมนำมาทานแบบดิบ , รมควัน และ นำไปบรรจุกระป๋องเป็นอาหารสำเร็จรูปได้ เป็นปลาทูน่าที่มีอัตราการจับสูงที่สุด
- Longfin Tuna หรือ ปลาทูน่าครีบยาว เป็นปลาทูน่าที่จะพบได้ในทุกทะเล เพราะมีการขยายพันธุ์ด้วยการวางไข่ครั้งละ 8 แสน ถึง 2.6 ล้านฟอง จากสถิติที่เคยพบมานับว่าเป็นปลาทูน่าที่ขยายพันธุ์ได้เร็วที่สุด เพราะหลังจากวางไข่ได้เพียงหนึ่งถึง 2 วันเท่านั้น ลูกปลากก็ออกมาลืมตาดูโลกแล้ว จึงเป็นเหตุที่พบเจอได้ทุกที่ โดยที่อเมริกามีชื่อเรียกว่าปลาทูน่เนื้อขาว เมื่อโตเต็มวัยจะมีขนาดตัวยาวประมาณ 1 เมตร กับ น้ำหนักเฉลี่ย 30-40 กิโลกรัม เป็นหนึ่งในปลาทูน่าครีบเหลืองที่อาศัยอยู่ในน้ำลึกในตอนกลางวัน และ อยู่บนผิวน้ำในเวลากลางคือ แถมปลาชนิดนี้จะเป็นปลาไม่นอนหลับเพราะให้ร่างกายขยับตัวตลอดเวลา เพื่อสร้างออกซิเจน
- Yellow fin tuna หรือ ปลาทูน่าครีบเหลือง พบได้ในแทบทะเลเขตร้อนแทบทุกที่ยกเว้นทะเลเมดิเตอเรเนียนที่เดียวเท่านั้น เนื่องจากความอุดมสมบูรณ์ไม่เพียงพอ ปลาชนิดนี้จะเป็นปลานักเดินทางที่มีการอพยพตลอดเวลาเป็นฝูงใหญ่ เป็นปลาที่อาศัยอยู่บริเวณผิวน้ำ หรือ ในน้ำลึกระดับ 100 เมตร เป็นปลาที่มีเนื้อแน่นมากกว่าความนุ่มละลาย มักจะพบได้ในอาหารสำเร็จรูป
- Bluefin tuna หรือ Hon Maguro คือ ปลาทูน่าครีบน้ำเงิน ที่ถูกยกให้เป็นราชาปลาดิบ เป็นปลาทูน่าที่มีขนาดตัวใหญ่มากที่สุด โดยจะมีความยาวเฉลี่ยอยู่ที่ 2-3 เมตร กับน้ำหนักที่มากกว่า 400 กิโลกรัม ซึ่งตัวใหญ่ที่สุดที่เคยมีการบันทึกไว้นั้นยาว 4 เมตร 58 เซนติเมตร กับน้ำหนักอีก 684 กิโลกรัม เป็นปลาที่มีอายุยืนยาวมากถึง 30 ปี และ แยกชนิดออกเป็น 3 สายพันธ์ ได้แก่ Northern Bluefin , Pacific Bluefin , Sorthern Bluefin ส่วนรายละเอียดที่เหลือเราขอกั๊กไว้ในบทความแยกของ Hon Maguro นะครับ อย่าลืมมาอ่านกันล่ะ
สัดส่วนต่าง ๆ ของปลา Maguro
- สำหรับเนื้อของปลาทูน่าหลัก ๆ จะแบ่งออกได้เป็น 7 สัดส่วน แต่ 3 ส่วนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือ Akami , Chutoro และ Otoro ซึ่งแต่ละส่วนจะแตกต่างกันอย่างไรบ้าง รับชมกันในบรรทัดต่อไปได้เลยครับ
- Akami คือส่วนที่เป็นเนื้อแดงจะมีไขมันแทรกน้อย หรือไม่มีเลย ตัวเนื้อจะมีสีแดงสดไม่มีลายไขมันหินอ่อน มีรสสีมผัสที่นุ่มแน่นเหมือนเนื้อวัว มีโปรตีนสูงแคลอรี่ต่ำ เป็นเนื้อที่อยู่ช่วงกลางลำตัวของปลาทูน่าที่จะเสิร์ฟมาเป็นเมนูไหนก็อร่อยไม่ว่าจะเป็น ซูชิหรือซาชิมิ
- Chutoro ชูโทโร่ คือเนื้อส่วนท้องและส่วนหลังของปลาทูน่า ที่จะมีลักษณะติดมันในระดับปานกลาง ที่เราจะพอมองเห็นไขมันแทรกของเนื้อได้ กับตัวเนื้อที่มีสีแดงอ่อนอมชมพู มีรสสัมผัสที่นุ่มละมุนลิ้น ละลายในปากแบบพอได้สัมผัสเนื้อเป็นส่วนที่ผู้คนนิยมชมชอบกันมาก ๆ เพราะไม่ละลายจนเกินไป ถึงจะมีความละลายจากไขมันที่มากแต่ก็มีสัมผัสให้พอได้เคี้ยวอยู่บ้าง นิยมทานทั้งแบบ Sushi , Sashimi และ รมควันแบบมีเดี่ยมก็มีรสชาติที่อร่อยมาก ๆ เช่นกัน
- Otoro โอโทโร่ คือส่วนที่มีไขมันมากที่สุดและเป็นส่วนที่มีราคาแพงมากที่สุดด้วยเช่นกันเพราะในทูน่าแต่ละตัวจะมีเนื้อส่วนนี้ที่น้อย มีรสสัมผัสที่นุ่มละลายที่เราแทบจะไม่ต้องเคี้ยว กับรสชาติที่หอมหวานละมุนตลบอบอวนอยู่ในปาก ซึ่งโอโทโร่ของแท้เราจะเห็นไขมันลายหินอ่อนสีขาวอยู่บนเนื้อปลาสีชมพูอ่อนได้อย่างชัดเจน
- ส่วนอีก 4 ตำแหน่งที่เหลือได้แก่
- Noten โนเต็น หรือ โทนิขุ คือเนื้อส่วนหน้าผากที่จะมีเส้นเอนและไขมันแทรกอยู่พอประมาณ มีรสสัมผัสคล้ายกับชูโทโร่ และ จัดอยู่ในเกรดเดียวกัน
- Hohoniku โฮโฮนิขุ คือเนื้อส่วนแก้ม ที่ปลาทูน่า 1 ตัว จะมีเพียง 2 ชิ้นเท่านั้น มีความนุ่มละลายกว่าชูโทโร่แต่ยังไม่ถึงระดับโอโทร่า และมีเส้นใยสูงกว่าเนื้อส่วนอื่น ๆ มีรสสัมผัสที่นุ่มละลายคล้าย ๆ กับเนื้อวัว A5 แต่เป็นกลิ่นของทูน่า
- Kamataro คามะโทโร่ คือ เนื้อส่วนหลังเงือก ที่เป็นเนื้อติดมันและมีไขมันแทรกอยู่มาก ซึ่งเราจะเห็นได้จากความ Juicy ของตัวเนื้อที่มี Damage รุนแรงมากจริง ๆ และ สำหรับเนื้อส่วนนี้จะมีเพียง 2 ชิ้นเท่านั้น ในปลาทูน่า 1 ตัว
- Naga Ochi นาคะโอชิ คือเนื้อติดกระดูก จะอยู่บริเวณส่วนกลางของทูน่าที่เหลือจากการแล่ โดยเชฟจะนำเนื้อส่วนนี้ไปบดละเอียดแล้วเปลี่ยนมาเป็นเมนูแสนอร่อยได้อีกมากมาย เช่น เนกิโทโร่ ที่เป็นข้าวหน้านาคะโอชิ หรือ Sushi ก็มีให้เห็นเช่นกัน
สรุป
ก็สมกับที่ถูกยกให้เป็นราชาแห่งปลาดิบเลย สำหรับปลา Maguro ที่นอกจากจะมีรสชาติที่แสนอร่อยแล้วยังมีรสสัมผัสที่เหมือนเนื้อวัวเกรดพรีเมี่ยมบางชนิดเลย ซึ่งเราก็หวังว่า บทความ ปลา Maguro ยอดวัตถุดิบสุดล้ำค่าแห่งแดนอาทิตย์อุทัย ที่เป็นสวรรค์ของคนรักเมนูปลาดิบ เรื่องนี้ จะเป็นประโยชน์ และ ช่วยให้ผู้อ่านทุกท่านได้รู้จักปลา Maguro กันมากขึ้นนะครับ สำหรับในวันนี้ก็ต้องขอตัวลาไปก่อนแล้วพบกันใหม่ในบทความครั้งหน้านะครับ สวัสดีครับ bluewolf-japan
เกมส์ออนไลน์แนะนำ >>> แทงบอล