สำหรับในครั้งนี้เราจะพาทุกท่านไปรู้จักกับเครื่องดื่มประจำชาติของคนญี่ปุ่นอย่าง สาเก ผ่านบทความ วัฒนธรรมการการดื่ม สาเก ของคนญี่ปุ่น พร้อมเรื่องหน้ารู้เกี่ยวกับเหล้าใสไร้สีจากญี่ปุ่น เรื่องนี้ หากเราพูดถึงสาเก ถ้าเป็นวัยรุ่นที่อายุต่ำกว่า 25 เป็นต้นไปก็อาจจะไม่เคยได้ยิน หรือ บ้างก็ไม่รู้จักกันเลย เพราะเป็นเครื่องดื่มที่ไม่ค่อยนิยมในหมู่วัยรุ่นมากนั้น อาจจะเป็นเพราะรสชาติและกลิ่นที่ไม่สู้พวก เบียร์กับโซจูในยุคปัจจุบันไม่ได้ แต่รู้หรือไม่ว่า สาเก เปรียบเสมือนเครื่องดื่มที่ช่วยเชิดชูรสชาติของอาหารญี่ปุ่นให้อร่อยได้มากขึ้นด้วย และ ครั้งนึงสาเกยังเคยเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมที่โด่งดังไปทั่วโลกจนถูกยกให้เป็นเครื่องดื่มประจำชาติมากันแล้ว ซึ่งก่อนที่เวลาจะผ่านไปจนอาจทำให้เหล้าใสจากญี่ปุ่นชนิดนี้เหลือน้อยจนกลายเป็นของหายาก เราจะพาทุกท่านพบกับสิ่งที่น่าสนใจทั้งหมดของเครื่องดื่มชนิดนี้ และ วัฒนธรรมการกินดื่มสาเกของคนญี่ปุ่นกันครับ
Sake คืออะไร
- Sake หรือ สาเก คือเครื่องดื่มประเภทเหล้า หรือ สุราประจำชาติของประเทศญี่ปุ่น ที่ผลิตโดยการหมักแบบเดียวกับไวน์ และ เบียร์ โดยสาเกนี้จะใช้ข้าวเป็นวัตถุดิบหลัก และ ด้วยกระบวนการทำที่คล้ายกับไวน์ จึงทำให้เรียกได้อีกชื่อว่า ไวน์ข้าว เป็นเครื่องดื่มที่อยู่ในวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน จนเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมของคนญี่ปุ่น ที่ต่างชาติเองก็สนใจไม่แพ้กัน เพราะนอกจากสาเกจะเป็นหล้าที่ผ่านกระบวนการทำที่สะอาด และ มีรสชาติอร่อยกับกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว อีกคุณลักษณะหนึ่งของสาเกคือการเป็นเครื่องดื่มที่รับประทานคู่กับอาหารญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี เช่นเดียวกับไวน์แดงและไวน์ขาวที่มีสูตรการกินคู่กับวัตถุดิบต่าง ๆ อยู่มากมาย ซึ่งสาเก เองก็มีลักษณะแบบเดียวกัน ซึ่งคนญี่ปุ่นต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า สาเก จะช่วยดึงรสชาติของวัตถุดิบชั้นเลิศที่อยู่ในเมนูอาหารออกมาได้ดีมากที่สุด หากรับประทานคู่กัน จึงทำให้สาเกตกเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของชาวต่างชาติด้วยเช่นกัน ที่หากมากี่ครั้งเป็นต้องดื่มคู่กับอาหารอยู่เสมอแบบที่เราจะเห็นร้านอาหารทั่วไปมักจะมีสาเกขายคู่ด้วย และ ยังนิยมซื้อกลับไปเป็นของฝากกันอีกด้วย ส่วนประวัติความเป็นมา และ กระบวนการผลิตนั้นเราไปรับชมกันในบรรทัดด้านล่างกันเลย
ประวัติความเป็นมาของ Sake
- สำหรับประวัติความเป็นมาของสาเกนั้นไม่ค่อยแน่ชัดมากนักว่าคนญี่ปุ่น มีกระบวนการผลิตหรือกินดื่มสุราชนิดนี้มากันตั้งแต่เมื่อไร ซึ่งคนญี่ปุ่นนั้นสันนิดฐานกันว่า สาเก เป็นเครื่องดื่มที่ทำมาจากข้าว จึงน่าจะถือกำเนิดมาตั้งแต่ในยุคสมัยยาโยอิ หรือ 300 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งเป็นช่วงที่คนญี่ปุ่นได้วัฒนธรรมวิธีการเพาะปลูกข้าวมาจากประเทศจีน แต่ถ้าหากสิ่งที่มีบันทึกไว้แน่ชัดที่สุดก็จะเป็นช่วงครึ่งหลังของยุคนาระ ปี ค.ศ 710-794 ที่มีหน่วยงานกำกับดูแลการผลิตสาเกก่อตั้งขึ้นเพื่อผลิตสาเกให้กับวังหลวงเท่านั้น โดยในยุคนาระ สาเก จะเป็นเครื่องดื่มชั้นสูงที่มีเพียงองค์จักรพรรดิได้ดื่มเท่านั้น ส่วนกว่าจะมากลายเป็นของทั่วไปที่คนเข้าถึงได้ง่ายนั้น ก็ต้องรอมาจนถึงยุคเฮอัน ปี ค.ศ. 794-1185 ที่ได้เริ่มมีการผลิตสาเกในสถานที่ต่าง ๆ มากขึ้น เช่นวัด , ศาลเจ้า หรือ ตามหมู่บ้านต่าง ๆ ก็ทำให้ผู้คนได้เข้าถึงสาเกกันง่ายมากขึ้น ส่วนโรงกลั่นจะมีในสมัยมูโรมาจิ ช่วงปี ค.ศ. 1333-1573 จนรัฐบาลสามารถเก็บภาษีเข้าประเทศได้นับตั้งแต่นั้น พอมาในช่วงศตวรรษที่ 16 ก็ได้เปลี่ยนกระบวนการผลิตสาเกให้ปลอดเชื้อ เป็นเครื่องดื่มที่สะอาดปลอดภัย อย่างวิธีที่เรียกกันว่า ฮิอิเระ และ กระบวนการกักเก็บในถังไม้ หรือ แม้กระทั่งกระบวนการแบบพาสเจอไรซ์ก็ถูกคิดค้นขึ้นมาในช่วงเวลานี้ด้วยเช่นกัน ทำให้ในค.ศ. 1603-1868 คือ ช่วงเวลาที่สาเกโด่งดังมากที่สุด จนมาในปี 1904 สถาบันวิจัยสุราแห่งชาติของประเทศญี่ปุ่นก็ได้ถูกก่อตั้งขึ้น เพื่อนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาพัฒนาสาเกให้มีคุณภาพดีขึ้นเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน จนทำให้สาเกเป็นที่รู้จักของเหล่านักดื่มไปทั่วทุกมุมโลก
กระบวนการผลิต Sake
- อย่างที่ทราบกันว่าสาเกนั้นมีการผลิตมาจากข้าว ซึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นนี้ก็มีข้าวมากกว่า 80 ชนิด ที่ถูกนำมาผลิตสาเก โดยขั้นตอนแรกจระนำข้าวไปสีเปลือกออกโดยจะต้องขัดประมาณ 30-50 เปอร์เซ็นต์จนให้สีออกมากที่สุด ยิ่งสีออกมากเท่าไรก็ยิ่งทำให้รสชาติดีมากขึ้น หลังจากนั้นก็จะนำข้าวไปหุงสุกแล้วหมักกับ โคจิ ที่เป็นกล้าเชื้อ ประมาณ 5-7 วัน แล้วค่อยเติมน้ำกับยีสต์ผสมลงไป และจำเป็นต้องใช้น้ำสะอาดที่ผ่านกระบวนการหมักมาแล้ว 2-3 สัปดาห์เท่านั้น จึงนำมาใช้ได้ แล้วหลังจากนั้นจะหมักต่อในกระบวนการพาสเจอไรซ์ เพื่อค่าเชื้อก่อนที่จะนำมาบ่ม 9-12 เดือน แล้วค่อยนำมาบรรจุขวดให้เราดื่มกันได้ ซึ่งนี่ก็เป็นกระบวนการเบื้องต้นเท่านั้น ซึ่งโรงกลั่นแต่ละที่ก็จะมีวิธีการผลิตในรูปแบบของตนเองอยู่ด้วยกันทั้งหมด จึงทำให้มีสาเกอยู่มากอย่างที่เราเห็น แต่ถึงอย่างไรสาเก ก็จะแบ่งออกเป็นประเภทหลักได้ 6 ประเภท ส่วนจะมีอะไรบ้างเราไปรับชมกันในบรรทัดด้านล่างเลย
Sake มีกี่ชนิด
- Junmai-Shu สาเกจุนไม คือ สาเกที่ทำจากข้าวล้วน โดยจะไม่มีส่วนผสมของน้ำตาลหรือแอลกอฮอล์ปรุงแต่งเพิ่มเติมลงไปแต่อย่างใด เป็นสาเกชนิดดั้งเดิมที่จะบ่งบอกถึงทักษะการทำสาเกของผู้ผลิตได้อย่างถ่องแท้ เพราะไม่ได้ผสมอะไรลงไปเลยแต่สามารถทำให้สาเกที่ทำจากข้าวล้วนีรสชาติอร่อยได้ โดยส่วนใหญ่จะนิยมเสิร์ฟมาในแบบร้อน และ สาเกชนิดนี้จะมีระดับความเป็นกรดที่สูงกว่าชนิดอื่น ๆ แถมยังไม่ค่อยมีกลิ่น
- Ginjo-Shu สาเกกินโจ คือ สาเกที่ทำจากข้าว โดยจะเป็นการใช้ข้าวที่สีออกไป 40 เปอร์เซ็น และ ใช้เนื้อข้าวที่เหลือเอาไว้ 60 เปอร์เซ็น ส่วนมากจะหมักผสมกับยีสต์สูตรพิเศษและหมักในอุณภูมิต่ำ ทำให้ได้รสชาติที่หอมหวน นุ่มละมุนและละเอียดอ่อน ส่วนมากจะนิยมทานกับแบบเย็นมากที่สุด เพราะจะเป็นการดึงรสชาติสาเกชนิดนี้ออกมาได้อย่างดีเยี่ยม
- Daiginjo-Shu สาเกไดกินโจ จะเป็นสาเกคล้าย ๆ กับแบบกินโจ แต่สาเกชนิดนี้จะสีข้าวออกมามากว่า 50-65 เปอร์เซ็นต์ ทำให้มีเนื้อข้าวเหลืออยู่ด้านในเพียง 35-50 เปอร์เซ็น จึงทำให้ได้กลิ่นที่หอม และ รสชาติที่เข้มข้นมากขึ้น เป็นสาเกที่หมักด้วยยีสต์ชนิดพิเศษในอุณภูมิต่ำเช่นเดียวกัน เหมาะกับการดื่มแบบเย็นมากที่สุด
- Honjozo-Shu สาเกฮอนโจโซ คือสาเกที่ผลิตจากข้าวที่สีออกไปเพียง 30 เปอร์เซ็นต์ฺ ทำให้เหลือเนื้อข้าวที่สีแล้ว 70 เปอร์เซ็นด้านใน พร้อมผสมแอลกอฮอล์ลงไปเพิ่มเติมเพื่อปรุงแต่งรสชาติ เป็นสาเกที่มีรสชาตินุ่มละมุนและมากับกลิ่นที่โดดเด่น แถมยังมีให้เราเลือกหลายรสชาติ ส่วนมานิยมดื่มกันแบบอุ่น ๆ
- Namazake นามะสาเก คือสาเกสดที่ไม่ผ่านการพาสเจอไรซ์ ทำให้สาเกทุกชนิดที่กล่าวมาก็สามารถเป็นสาเกชนิดนี้ได้ โดยส่วนมากจะนำไปแช่เย็นก่อนรับประทานเพื่อให้ได้กลิ่นและรสชาติที่ดีที่สุด
- Namachozo นะมะโชโซ คือ สาเกที่ผ่านการพาจเจอไรซ์มาเพียงครั้งเดียว จะคล้าย ๆ กับสาเกสด แต่จะต้องเก็บในความเย็นเท่านั้น มีรสชาติที่นุ่มละมุนกว่านามะสาเก และ ให้ความรู้สึกสดชื่นทุกครั้งเมื่อได้รับประทาน
สรุป
สถานการณ์ปัจจุบันของสาเกญี่ปุ่นนับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1970 เป็นต้นมา พบว่าปริมาณการบริโภคสาเกภายในญี่ปุ่นนั้นลดต่ำลงมาก ด้วยเหตุหลายปัจจัยที่ทำให้คนญี่ปุ่นพากันหันไปดื่มเครื่องดื่มชนิดอื่นอย่างโซจู เบียร์ และ วิสกี้ กันเยอะขึ้น ประกอบกับค่านิยมของคนรุ่นใหม่ที่มักมองกันว่าสาเกเป็นเหล้าของคนแก่ ทั้งผู้สูงอายุก็ยังลดการดื่มเหล้าเพื่อรักษาสุขภาพด้วยเช่นกัน ซึ่งบทความ วัฒนธรรมการการดื่ม สาเก ของคนญี่ปุ่น พร้อมเรื่องหน้ารู้เกี่ยวกับเหล้าใสไร้สีจากญี่ปุ่น เรื่องนี้ ก็มีจุดประสงค์ที่อยากให้ทุกคนได้รู้จักกับเครื่องดื่มชนิดนี้กันมากขึ้นก่อนกาลเวลาจะพาให้มันสูญหายไป เพราะเครื่องดื่มชนิดนี้เดิมทีไม่ได้เป็นแค่เหล้า แต่เปรียบเสมือนไวน์ที่จะคอยช่วยชูรสชาติของอาหารญี่ปุ่นให้อร่อยมากขึ้นได้อีกด้วย bluewolf-japan